นโยบายต่างประเทศของไทยต่อประเทศจีน
1. ลักษณะนโยบาย
ไทยและจีนมีการติดต่อสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
การดำเนินความสัมพันธ์มีทั้งด้านบวกคือการไม่ขัดแย้งกัน และด้านลบคือการขัดแย้งกัน
ในอดีตเมื่อจีนยังไม่ได้ปกครองประเทศด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นั้น
ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศดำเนินไปด้วยดีมาตลอดแต่เมื่อจีนเปลี่ยนแปลง
การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบสาธารณรัฐ ในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการปลุกระดมความเป็นชาตินิยมในหมู่ชาวจีนในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้ทรงเป็นนักชาตินิยมได้ทัดทานบทบาทของชาวจีนในไทย
ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจระหว่างประเทศทั้งสอง
และขยายตัวมากขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ขณะเดียวกันได้เกิดการปฏิวัติโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในจีน
ซึ่งไทยไม่ประสงค์ในสิทธิดังกล่าวจึงเกิดการต่อต้านชาวจีนมากขึ้น
โดยเลือกมีสัมพันธภาพกับจีนไต้หวัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 สมัย
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
จึงได้มีการปรับท่าทีและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
2. ปัจจัยภายใน การเปลี่ยนแปลงในระบบระหว่างประเทศ
นับตั้งแต่เกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตความขัดแย้ง
ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต การลดบทบาทในอินโดจีนของสหรัฐอเมริกา
กลุ่มประเทศอินโดจีนกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์
และสหภาพโซเวียตเข้ามามีอิทธิพบในอินโดจีน
รวมทั้งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน
ปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของไทยทั้งสิ้น
เนื่องจากไทยเป็นประเทศเล็กจำเป็นต้องผูกพันกับประเทศใหญ่เพื่อเป็นเกราะ
ป้องกันให้กับตนเอง ไทยจึงมีนโยบายคล้อยตามสหรัฐอเมริกา
การกำหนดความสัมพันธ์ของไทยกับจีนนั้นมาจากปัจจัยภายในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ด้านผู้นำไทย ในอดีตช่วยปลายสมัยรัชกาลที่
5 ชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้สร้างทัศนคติด้านลบแก่ผู้นำไทย
ด้วยการก่อความไม่สงบขึ้น เช่น จัดตั้งสมาคมอั้งยี่ และการไม่ยอมรับอำนาจของศาลไทย
รวมทั้งการครอบงำเศรษฐกิจของชาวจีน ทำใ
ไม่พอใจให้กับผู้นำไทยมากยิ่งขึ้น เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ผู้นำไทยในช่วงปีพ.ศ. 2493-2513 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารมีนโยบายต่อต้านภัยจากคอมมิวนิสต์
ยิ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยปฏิเสธความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้น
จนกระทั่งสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงไปผู้นำไทยจึงหันมาสถาปนาความสัพ
มันธ์กับจีนในปี พ.ศ. 2518
2) ด้านการเมือง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
กลุ่มที่มีบทบาททางการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศในฐานะรัฐบาลมีทั้งกลุ่ม
พลเรือนและกลุ่มทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปี พ.ศ. 2500-2513 รัฐบาลเผด็จการทหารที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี
มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่าวงรุนแรง
หากผู้ใดคณะใดมีความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนจะถือว่าเป็นการกระทำผิด กฎหมาย
แต่หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทัศนะต่าง ๆ ของประชาชนหลายกลุ่มต่อการเปิดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้รับ
การพิจารณามากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในอินโดจีนและลกเปลี่ยนไป
3) ด้านการทหาร แม้ว่าประเทศไทยจะทุ่มเทงบประมาณเพื่อพัฒนากองทัพให้เข้มแข็ง
แต่หาเปรียบเทียบกับจีนแล้วไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่ามาก ไม่ว่าด้านกำลังพล
อาวุธยุทโธปกรณ์ อย่างไรก็ตาม
ศักยภาพด้านการทหารไม่ได้ส่งผลต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากนัก
4) ด้านเศรษฐกิจ ช่วงปี พ.ศ. 2500-2518 ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 1-4 เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม
เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลี ซึ่งประสบความสำเร็จแล้ว
ผลจากการพัฒนาทำให้เขตเมืองมีการเจริญเติบโตอย่างมาก
ทั้งนี้โดยอาศัยทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติและแรงงานคนจากเขตชนบท
ทำให้รายได้และมาตรฐานการครองชีพในเขตเมืองสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของเขตชนบทต่ำแต่ค่าครองชีพสูงขึ้น
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Grose Demestic Product : GDP) สูงขึ้น ขณะเดียวกันจำนวนประชากรยากจนก็มีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ตัวเลขการขาดดุลของประเทศได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากไทยต้องอาศัยวิทยาการและเทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างประเทศ
ซึ่งจำเป็นต้องซื้อหามาด้วยราคาที่แพงมาก
รวมทั้งเงินกู้ต่างประเทศยังเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นประเทศที่มี
หนี้สินมากประเทศหนึ่ง
3. ปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายนอกที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายของไทยกับจีน
มีดังนี้
1) สถานการณ์ภูมิภาค นับตั้งแต่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี พ.ศ. 2492
เป็นต้นมาจนถึงปี พ.ศ. 2528 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนไม่ค่อยราบรื่นนัก
เนื่องจากจีนให้ความช่วยเหลือเวียดนามเพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศส รวมทั้งสหรัฐอเมริกา
จนกระทั่งเกิดการรวมเป็นประเทศเวียดนามเดียวภายใต้ระบอบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์
ในช่วงปี พ.ศ. 2518-2519 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ประสบชัยชนะในสงครามการเมืองในประเทศ
เพื่อนบ้านของไทย โดยเกิดการปฏิวัติขึ้นในลาวและกัมพูชา
หลังจากนั้นเวียดนามได้พยายามเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองและการทหารเหนือ
กัมพูชาและลาว การกระทำของเวียดนามดังกล่าวทำให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงกับจีน
และจากปัญหาความขัดแย้งภายในของกัมพูชาซึ่งจีนให้การสนับสนุนอยู่ได้เป็น
ปัญหาสำคัญต่อความมั่นคงของไทยเป็นอย่างมาก
เนื่องจากไทยให้ที่พักพิงแก่ฝ่ายรัฐบาลผสมเขมรสามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา
ซึ่งจีนให้การสนับสนุนอาวุธแก่ฝ่ายต่อต้านด้วย
ทำให้จีนและเวียดนามขัดแย้งกันจนเกิดการปะทะกันด้วยกำลัง
จากบทบาทของจีนที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านของไทย
ด้วยการสนับสนุนการขยายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย
พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้นำไทย
ต่อมาจีนได้ปรับเปลี่ยนนโยบายและบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้
ไปในทางต่อต้านกับภัยที่คุกคามไทย
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับจีนได้ลดลงถึงขั้นร่วมมือกันต่อต้านเวียดนาม
2) สถานการณ์โลก หลังจากสหรัฐอเมริกาถอนทหารออกจากเวียดนามในปี พ.ศ. 2512
ขณะเดียวกันก็ได้เริ่มปรับความสัมพันธ์ทางการฑูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี
พ.ศ. 2515 เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้องการเป็นพันธมิตรกัน
เพื่อคานอำนาจและต่อต้านการขยายอิทธิพลสิทธิครองความเป็นเจ้าของสหภาพ
โซเวียตที่ให้การสนับสนุนเวียดนาม สำหรับประเทศไทยก็ได้ปรับท่าทีโดยหันมาเปิดความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างกัน
ในปี พ.ศ. 2518
2. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน
1) ด้านการเมือง นับตั้งแต่จีนเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ประเทศไทยซึ่งมีความผูกพันกับสหรัฐอเมริกาและมีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองมีความตึงเครียด
เนื่องจากปัญหาด้านอุดมการณ์และความมั่นคง
แต่หลังจากสถานการณ์ในภูมิภาคและโลกเปลี่ยนแปลงไป
ประเทศไทยและจีนจึงปรับความสัมพันธ์ระหว่างกันในปี พ.ศ. 2518 สมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช สัมพันธภาพอันดีได้สะดุดลงชั่วขณะเมื่อเกิดการรัฐประหารในประเทศไทย
โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในปี พ.ศ. 2519 โดยมีนายธานินทร์
กรัยวิเชียร เป็นนากรัฐมนตรี รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง
ต่อมาสภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีชุดนี้ได้ทำการรัฐประหารโดยมีพลเอกเกรียง ศักดิ์ ชมะนันทน์
เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ
แม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองและระบอบการปกครองแตกต่างกันก็ตาม
และนับแต่นั้นเป็นต้นมา
สัมพันธภาพทางการเมืองระหว่างไทยกับจีนก็ดำเนินมาด้วยดีโดยตลอด
มีการเยี่ยมเยือนกันระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ได้ทรงเสด็จเยือนประเทศจีนหลายครั้งซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ
ประเทศทั้งสอง
2) ด้านเศรษฐกิจ
จากความสัมพันธ์ด้านการเมืองของไทยและจีนมีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งสอง
เช่น การทำความตกลงทางการค้า การลงทุนร่วมกัน การซื้อ-ขายสินค้าระหว่างกัน เป็นต้น
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492-2514 นั้น
เป็นระยะที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เพราะไทยได้กระทำรุนแรงทางด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. 2502 คือ การปฏิเสธการค้ากับจีน
ห้ามการติดต่อค้าขายตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 53 ต่อมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ทางการเมือง
จึงได้มีการติดต่อทางการค้า
การค้าเสรีระหว่างเอกชนไทยกับรัฐบาลขึ้นได้เริ่มขึ้นนับตั้งแต่มีการสถาปนา
ความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างกันเป็นต้นมา
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศขยายตัวขึ้นมากทั้ง ๆ
ที่จีนต้องการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองให้มากที่สุด
การเปลี่ยนเปลี่ยนทางการพัฒนาประเทศของจีนเมื่อปี พ.ศ. 2521 ด้วยการประกาศนโยบาย
4 ทันสมัย ซึ่งได้แก่ เร่งรัดความทันสมัยด้านการเกษตร
อุตสาหกรรม การทหาร และเทคโนโลยี ได้สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ไทยพอสมควร
เพราะเปิดโอกาสให้เอกชนไทยเข้าไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ซึ่งมีระบบการบริหารแบบทุนนิยมผสมกับสังคมนิยมกลุ่มเศรษฐกิจไทยดังกล่าว
ได้แก่กลุ่มเจียไต๋
ซึ่งลงทุนด้านโรงงานแปรรูปอาหารสัตว์และเลี้ยงไก่ที่เมืองเซิงเจิ้น ซานโถว
(ซัวเถา) ซิหลิน เหลี่ยวหนิง เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่ลงทุนด้านต่าง ๆ ได้แก่ การผลิตพรม โรงงานปุ๋ย
โรงงานสร้างเรือยอร์ช สนามกอล์ฟ รถจักรยายนต์ กระจก และน้ำดื่ม เป็นต้น
นอกจากนั้นได้มีการตกลงทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม สร้างข้อตกลงทางการค้า ขายสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
มีการส่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคไปช่วยเหลือกัน ยุติข้อกีดกันทางเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ที่ดีอย่างสูงสุด
แม้ว่าไทยจะขาดดุลการค้ากับจีนก็ตาม
3) ด้านสังคมและวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรมของไทยและจีนนั้นมีมานานแล้วก่อนการสถาปนา
ความสัมพันธ์ทางการฑูตในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความตึงเครียดระหว่างกัน
โดยมีการเยี่ยมเยือนจีนของคณะต่าง ๆ ทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น คณะบาสเกตบอล
คณะผู้แทนกรรมกรไทย คณะผู้แทนศิลปินไทย สมาคมพุทธศาสนา คณะสงฆ์ รวมทั้งคณะนักหนังสือพิมพ์
เป็นต้น จากเหตุการณ์ด้านวัฒนธรรมและวิชาการ อันได้แก่
การติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน การส่งเสริมการท่องเที่ยว
การแลกเปลี่ยนผู้ทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และงานด้านวิชาการ เป็นต้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ นับตั้งแต่
พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา
ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรมของไทยและจีนมีความร่วมมือกันย่างแน่นแฟ้น
จนถึงปัจจุบันนี้
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กับมิตรภาพไทย-จีน
มิตรภาพไทย-จีนจะดีอย่างทุกวันนี้ไม่ได้เลย
ถ้ามิได้รับการส่งเสริมจากพระบรมวงศานุวงศ์ไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพฯ
พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ได้เสด็จเยือนจีนบ่อยๆ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จเยือนจีนครั้งหนึ่งอย่างเป็นทางการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปี 2000
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี
และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
แต่ละพระองค์เสด็จเยือนจีนมาแล้วหลายครั้ง
สำหรับสมเด็จพระเทพฯ
นั้น ทรงมีคุณูปการพิเศษสำหรับมิตรภาพไทย-จีน
พระองค์เสด็จเยือนจีนครั้งแรกเมื่อวันที่ 12-20 พฤษภาคม 1981
ในครั้งนั้นนอกจากมหานครปักกิ่ง พระองค์ได้เสด็จเยือนจีนตะวันตกถึง 3
แห่ง คือ เฉิงตู ซีอัน และคุนหมิง ในช่วง 29 ปีที่ผ่านมา
พระองค์เสด็จเยือนจีนแล้ว 31 ครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนปีนี้เอง
พระองค์เสด็จมาเปิดโรงเรียนพระราชทานที่เมืองเหมียนหยาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจอื่นๆ
ในจีน พระองค์ได้เสด็จเยือนจีนแล้วครบทั้ง 4 มหานคร 23
มณฑล 5 เขตปกครองตนเอง
พระองค์ได้รับการยกย่องจากสมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งประชาชนจีนว่าทรงเป็น “ทูตสันถวไมตรีระหว่างไทย-จีน” (2004) และทรงได้รับรางวัล
“มิตรภาพนานาชาติ” 10 อันดับแรกในโลกของสาธารณรัฐประชาชนจีน
(2009)
การเสด็จเยือนจีนของสมเด็จพระเทพฯ
และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อมวลชนไทย
ในโอกาสนั้น คนไทยผู้ชมโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจทั้ง 6 ช่อง จะมีโอกาส (เหมือนกับได้ตามเสด็จ)
ได้ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมและความงามธรรมชาติของจีนอย่างทั่วถึง
พระองค์ทรงอุตสาหะศึกษาภาษาและวัฒนธรรมจีน เป็นแรงดลใจให้คนอื่นก็สนใจเรียนภาษาและวัฒนธรรมจีนด้วย
หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องการเสด็จเยือนจีน (อย่างน้อย 9 เรื่อง
ไม่รวมงานแปลจากภาษาจีน) ของพระองค์ก็ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในหมู่คนไทย
เข้าใจว่าคนจีนและคนที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อาจจะไม่เข้าใจหรือไม่ซาบซึ้งถึงผลงานอันใหญ่หลวงของสมเด็จพระเทพฯ
เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมมิตรภาพไทย-จีน
สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างได้ผลเหนือบุคคลอื่นๆ คือ
(1) พระองค์ทรงมีความวิริยะอุตสาหะ ใฝ่รู้ใฝ่เห็น
ทรงจดบันทึกสิ่งที่ได้ฟังได้เห็นตามสถานที่ต่างๆ ที่เสด็จไปเยือนอย่างละเอียด
เพื่อเป็นข้อมูลถ่ายทอดให้คนไทยทราบในโอกาสต่างๆ
(2) พระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
คนไทยสนใจติดตามชื่นชมในพระราชกรณียกิจของพระองค์อยู่ตลอดเวลา
(3) คนจีนเป็นเจ้าภาพที่ดี ถวายการต้อนรับสมเด็จพระเทพฯ อย่างดีเยี่ยมตลอด
คนไทยก็เป็นคนรู้คุณคน มิตรจิตที่คนจีนถวายต่อสมเด็จพระเทพฯ
ที่เรารักและเทิดทูนนั้น ย่อมได้รับการตอบแทนเป็นทวีคูณ
(4) การรายงานข่าวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพฯ
ในการเสด็จเยือนจีนทุกครั้งย่อมมีแต่แง่ดี น่าชื่นชม
ซึ่งย่อมเป็นผลดีต่อการกระชับมิตรภาพไทย-จีนยิ่งๆ ขึ้น
(5) โทรทัศน์ของไทยทุกช่อง (6 ช่อง)
มีเครือข่ายแพร่ข่าวทั่วประเทศ เสนอข่าวราชสำนักในรูปแบบ “รวมการเฉพาะกิจ”
(คือ ทุกช่องต้องเสนอข่าวนี้ในเวลา 20.00 น.)
โดยการเสนอข่าวเกี่ยวกับการเสด็จเยือนจีนของสมเด็จพระเทพฯ อย่างละเอียด เชื่อว่าประชาชนคนไทยเกือบทั้งหมด
รู้จักจีนฯ เข้าใจจีน และเป็นมิตรกับจีนตามรอยพระบาทของสมเด็จพระเทพฯ
ประเทศอื่นไม่มีโชคดีเท่ากับประเทศไทย-จีนที่มีปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้
การที่คนจีนได้ลงคะแนนเสียงทางอินเตอร์เนตยกย่องให้พระองค์ทรงได้รับรางวัล “มิตรภาพนานาชาติ” ของจีนในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ด้วยคะแนนมากกว่า 2 ล้านเสียง
ซึ่งนับเป็นอันดับที่ 2 ของจำนวน 10 คนนั้น
คนไทยย่อมยินดีปรีดาและภูมิใจในพระอัจฉริยะภาพของพระองค์แต่ข้าพเจ้าคิดว่าคนจีนโดยทั่วไปคงไม่มีโอกาสเหมือนคนไทยที่ได้ชม
“โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ” เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจการเยือนจีนของพระองค์
มิเช่นนั้น คนจีน 56 ล้านคนที่ใช้สิทธิลงคะแนนเลือกมิตรที่ดีที่สุดของจีนในรอบ
100 ปีนั้น คงจะลงคะแนนให้สมเด็จพระเทพฯ
มากกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่า สำหรับคนไทยที่ติดตามพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพฯ
ในการส่งเสริมมิตรภาพไทย-จีน คงจะลงคะแนนเป็นเสียงเดียวกันว่า
ไม่มีใครอื่นอีกแล้วในประวัติศาสตร์ชาติไทยในรอบ 700 ปีที่ผ่านมา
ที่มีผลงานทัดเทียมกับสมเด็จพระเทพฯ
ภารกิจสำคัญที่ไทย-จีนควรร่วมมือกันสานต่อ
ในหัวข้อนี้
เรามาช่วยกันมองอนาคต ดูว่าในความสัมพันธ์ไทยจีนนั้น มีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะช่วยเพิ่มพูนผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศของเรา
คนจีนที่อยู่ในที่นี้ส่วนมากคงจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่นครเฉิงตู
และสนใจเรื่องความสัมพันธ์ไทย-จีน
เชื่อว่าท่านคงจะมีความรู้เรื่องความสัมพันธ์ไทย-จีนในระดับหนึ่ง
และอาจจะอยากเห็นความสัมพันธ์ไทย-จีนให้ดียิ่งๆขึ้น ข้าพเจ้าเป็นคนไทย
เหมือนเพื่อนร่วมชาติอีกหลายคนที่อยู่ในที่นี้ มีภูมิหลังและข้อมูลแตกต่างจากคนจีน
เราอาจจะมีเป้าหมายเหมือนกัน
แต่ก็อาจจะมองเห็นปัญหาหรือความปรารถนาอะไรที่แตกต่างกัน โดยความเห็นส่วนตัว
ข้าพเจ้าอยากเห็นเรามาร่วมมือกันคิดและทำสิ่งต่อไปนี้ในช่วง 3 ปี, 5 ปี หรือ 10 ปี
ซึ่งได้แก่
(1) พยายามหาทางเผยแพร่วัฒนธรรมให้สมดุลกันมากกว่าที่เป็นอยู่
ข้อตกลงที่มีอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นมีมากเพียงพอแล้ว ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติ
การเผยแพร่วัฒนธรรมจีนไปสู่ประเทศไทยนั้นได้ทำกันอย่างคึกคักอย่างต่อเนื่อง เราได้อานิสงส์จากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพฯ
มีทางหรือไม่ที่จะเพิ่มช่องทางเผยแพร่ข่าวสารที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงปฏิบัติ
ไปสู่คนจีนในระดับต่างๆ จนถึงระดับรากหญ้าให้กว้างขวางมากขึ้น
มีทางหรือไม่ที่จะหาผู้นำของจีนระดับชาติ ระดับมหานคร, มณฑล,
เขตปกครองตนเอง ทำหน้าที่เป็นสื่อเหมือนสมเด็จพระเทพฯ
ในการแนะนำให้คนจีนทุกระดับ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนตะวันตก) รู้จักไทยมากขึ้น
ได้รับความสุขจากการสัมผัสวัฒนธรรมไทยมากขึ้น
เอาวิทยุหรือโทรทัศน์ท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์เพื่อการนี้อย่างไร
(2) เรื่องความร่วมมือไทย-จีนในด้านการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรม
ก็มีปัญหาทำนองเดียวกัน
ปัจจุบันจีนช่วยไทยในด้านการเรียนการสอนภาษาจีนในไทยคิดเป็นมูลค่าคงไม่ต่ำกว่าปีละ
150 ล้านบาท ให้ทุนครูไทยที่สอนภาษาจีนมาอบรม-ดูงานในจีน
จัดทำตำราและสื่อการสอนภาษาจีนให้ จัดส่งครูอาสาสมัครชาวจีนไปสอนภาษาจีนในไทย ตั้งแต่ปี
2003 เป็นต้นมา เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 คน3 แต่การเรียนการสอนภาษาจีนในไทย
(ซึ่งปัจจุบันมีคนเรียนอยู่ทั้งในระบบและนอกระบบไม่ต่ำกว่า 500,000 คน) ยังไม่ค่อยได้ผล ควรหาทางปรับปรุงรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนั้น กิจกรรมการแลกเปลี่ยนที่ฝ่ายไทยช่วยเหลือจีน
ในด้านการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรมไทยในจีนยังมีน้อยมาก ยิ่งกว่านั้น
ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมของคนจีนตะวันตก
(นอกจากมณฑลหยุนหนานและเขตปกครองตนเองกว่างซี) ให้มากขึ้น
(3) ความร่วมมือไทย-จีนในด้านการทำวิจัยยังมีน้อย สถาบันวิจัยหรือมหาวิทยาลัยของไทยและจีน
ควรหาคู่ทำวิจัย (เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่-มหาวิทยาลัยเฉิงตู)
ในหัวข้อที่ไทย-จีนมีประโยชน์ร่วมกัน (เช่น
เรื่องการลงทุนในไทยของจีนตะวันตกแห่งใดแห่งหนึ่ง
หรือพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยในมณฑลซื่อชวน เป็นต้น) พยายามหาเรื่องทำร่วมกันในด้านความมั่นคงในความหมายอย่างกว้าง
และความร่วมมือกันด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้วย
(4) มหาวิทยาลัยต่างๆ ในไทย และในจีนตะวันตก
ควรทำความตกลงแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญกันให้มากขึ้น เนื่องจากยังมีกำแพงด้านภาษา
ในขั้นแรก ควรแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญทางด้านสังคมศาสตร์
ให้คนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศหนึ่งไปสอน
หรือบรรยายพิเศษ หรือเป็นแหล่งข้อมูลในเรื่องที่ตนเชี่ยวชาญในอีกประเทศหนึ่ง
ความรู้ที่คนไทยอยากได้เกี่ยวกับจีนตะวันตก
น่าจะมาจากชาวพื้นเมืองของจีนตะวันตกโดยตรง
(5) ความร่วมมือไทย-จีนตะวันตกในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารควรมีมากขึ้น
หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนควรสำรวจดูว่า
ตนมีกิจกรรมอะไรบ้างที่อาจร่วมมือกันในรูปแบบต่างๆ (เช่น มีกลไกในการปรึกษาหารือ
หรือมีคณะกรรมการ เป็นต้น) ตามความเหมาะสม เป็นต้นว่า องค์กรบริหารงานของเขื่อนพลังน้ำไฟฟ้าตอนเหนือของแม่น้ำโขงในจีน
ในหยุนหนานควรทำข้อตกลงกับกรมชลประทานของไทยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับระดับน้ำ
และการเก็บปล่อยน้ำที่เขื่อนต่างๆ ในมณฑลหยุนหนาน ฝ่ายจังหวัดเชียงใหม่
เชียงรายของไทย ก็ควรตกลงกับองค์กรบริหารของจีนที่เหมาะสมเกี่ยวกับขบวนการค้ายาเสพติด
การค้ามนุษย์ และอาชญากรข้ามชาติอื่นๆ ตามชายแดนไทย-พม่า
และไทย-ลาวแจ้งให้ฝ่ายจีนทราบเป็นระยะๆ เป็นต้น
www.suksrifa.blogspot.com